“ภูมิธรรม” สั่งตั้ง War Room เตรียมรับมือผลกระทบพายุวิภา
รายละเอียด : “ภูมิธรรม” สั่งตั้ง War Room เตรียมรับมือผลกระทบพายุวิภา ย้ำเตือนประชาชนตระหนักแต่ไม่ตระหนก
ในช่วงวันที่ 20-24 กรกฎาคม 2568 ประเทศไทยเผชิญกับภาวะฝนตกหนักจาก “พายุวิภา” นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แสดงความห่วงใย โดยสั่งการให้ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ตั้ง War Room พร้อมด้วยหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง เพื่อออกมาตรการเชิงรุก เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัยอย่างครอบคลุม ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งด้านบุคลากร เครื่องมือกู้ภัย แผนเผชิญเหตุ และพื้นที่รองรับการอพยพ พร้อมเร่งฟื้นฟูความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ประสบภัย ให้กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ข้อมูลจากกรมชลประทานระบุว่า ระดับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาจะเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่าการระบายน้ำผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาอาจสูงถึง 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ริมน้ำหลายจังหวัดในภาคกลาง เช่น อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และกรุงเทพมหานคร ดังนั้น กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (ปภ.) จึงได้ประสานกับ 10 จังหวัดภาคกลางและ กทม. เพื่อเฝ้าระวังระดับน้ำ ขณะที่ กรมอุตุนิยมวิทยายังประกาศแจ้งเตือน 57 จังหวัดทั่วประเทศให้เตรียมรับมือฝนตกหนักถึงหนักมาก รัฐบาลจึงเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายทำงานเชิงรุกเพื่อให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึงและทันต่อเหตุการณ์ พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าเพื่อให้เตรียมรับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม
ปภ. ประชุม War Room รับมือเชิงรุก “พายุวิภา”
(20 ก.ค. 68) นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นประธานการประชุมกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยและดินถล่ม รวมถึงการเตรียมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแบบเชิงรุก ที่อาจได้รับผลกระทบจากพายุ “วิภา” ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อวางแผนรับมือและให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ทั่วถึง โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก รวม 22 จังหวัด พร้อมหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์
จากการประสานข้อมูลร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา คาดว่าระหว่างวันที่ 20-24 กรกฎาคม ประเทศไทยจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินถล่ม
โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แสดงความห่วงใยประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบ และสั่งการให้ ปภ. บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เตรียม
ความพร้อมและช่วยเหลือประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้สร้างการรับรู้ความเข้าใจกับประชาชน
ให้ติดตามสถานการณ์จากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และไม่หลงเชื่อข่าวปลอมที่อาจเกิดการเผยแพร่ทางช่องทางต่าง ๆ
ปภ. ได้จัดตั้ง War Room เพื่อติดตามสถานการณ์แบบเรียลไทม์ และเตรียมกำลังพล เครื่องจักรกลสาธารณภัย และอุปกรณ์ช่วยเหลือประจำในพื้นที่เสี่ยงล่วงหน้า พร้อมสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์ KA-32 และ “The Guardian Team” จากกองทัพบก ประจำการที่ จ.เชียงใหม่ ไว้สำหรับภารกิจค้นหา ช่วยเหลือ และลำเลียงสิ่งของในพื้นที่เข้าถึงยาก โดยเฉพาะช่วงวันที่ 22–23 กรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงที่คาดว่าพายุจะส่งผลรุนแรงที่สุด พร้อมกันนี้ ปภ. ได้ประสานผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ AIS, True, NT ส่งข้อความ
แจ้งเตือนภัยล่วงหน้าทาง Cell Broadcast และ SMS ถึงประชาชนในพื้นที่เสี่ยง 22 จังหวัด ได้แก่ น่าน พะเยา เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก หนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร หนองบัวลำภู เลย อุดรธานี กาญจนบุรี ราชบุรี อุทัยธานี จันทบุรี และตราด โดยแจ้งเตือน
ให้ประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ำหรือเชิงเขาเตรียมอพยพ ย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง และเคลื่อนย้ายกลุ่มเปราะบางไปยังพื้นที่ปลอดภัยหากจำเป็น และให้ติดตามข่าวสารราชการอย่างใกล้ชิด
นายภาสกร ย้ำว่า ทุกหน่วยงานต้องเฝ้าระวังสถานการณ์และเตรียมพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง โดยได้
สั่งการให้ศูนย์ ปภ. เขตต่าง ๆ รวมถึงจังหวัดในพื้นที่เสี่ยง จัดเตรียมทีมเผชิญเหตุ อุปกรณ์กู้ภัยให้พร้อมดำเนินการทันทีเมื่อเกิดภัย จัดพื้นที่รองรับการอพยพ/ศูนย์พักพิงชั่วคราวที่มีมาตรฐานในการรองรับการอพยพของประชาชน ทั้งด้านการช่วยเหลือ การดูแลผู้ประสบภัย และการฟื้นฟูในส่วนพื้นที่ที่ยังมีสถานการณ์อุทกภัย ให้เร่งช่วยเหลือประชาชนอย่างครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านการดำรงชีพ ความปลอดภัย สุขภาพจิต การระบายน้ำ ซ่อมแซมบ้านเรือน และระบบสาธารณูปโภค เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็ว
นอกจากนี้ ปภ. ยังได้ประสานให้สำรวจจุดเสี่ยง วัสดุกีดขวางทางน้ำ และจัดเตรียมจุดวางเครื่องจักรกลในพื้นที่เฝ้าระวังล่วงหน้า เพื่อให้สามารถเข้าช่วยเหลือได้ทันที และเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย
ให้ท้องถิ่นเร่งสำรวจความเสียหายอย่างละเอียด พร้อมจัดทำบัญชีความเสียหายทั้งด้านการดำรงชีพ การเกษตร สิ่งสาธารณูปโภค และเร่งรัดจ่ายเงินช่วยเหลืออย่างเป็นธรรมและทั่วถึง
ปภ. ประสาน 10 จังหวัดภาคกลาง และ กทม. เฝ้าระวังระดับน้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูง เริ่ม 21 ก.ค. นี้
นายภาสกร เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากกรมชลประทานคาดการณ์ปริมาณน้ำ 1-7 วันข้างหน้า
โดยในวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ที่สถานี C.2 อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ จะมีปริมาณน้ำไหลผ่านประมาณ 1,400-1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และคาดการณ์ปริมาณน้ำจากลำน้ำสาขาจะมีปริมาณ
100-150 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งทำให้ปริมาณน้ำที่เหนือเขื่อนเจ้าพระยามีปริมาณ 1,500-1,650
ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และรับน้ำเข้าระบบชลประทาน 2 ฝั่ง ในอัตรา 400-450 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
จึงมีความจำเป็นต้องระบายน้ำผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ในอัตราระหว่าง 700-1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งส่งผลให้พื้นที่ริมน้ำมีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น จากปัจจุบันอีกประมาณ 0.20-0.80 เมตร โดยเฉพาะบริเวณ
คลองโผงเผง จ.อ่างทอง, คลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา และ ต.หัวเวียง อ.เสนา ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา (แม่น้ำน้อย) โดยเริ่มส่งผลกระทบตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป
กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง จึงได้ประสาน 10 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ รวมถึงกรุงเทพมหานคร เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามสถานการณ์และข่าวสารสาธารณภัย ได้ทางช่องทางสื่อสารของ
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
• Facebook กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย DDPMX@DDPMNews แอปพลิเคชัน THAI DISASTER ALERT
• แจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือทางไลน์ "ปภ.รับแจ้งเหตุ1784" เพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM
• สายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง
ผู้โพส : สำนักปลัด